ลองนึกภาพตาม รถมือหนึ่งป้ายแดงราคา600000 ดาวน์ไป20%(120000) ขอสินเชื่อรถยนต์480000 ผ่อนค่างวดสินเชื่อรถยนต์อยู่ที่5ปี ดอกเบี้ยรถสมมุติ2.5% ก็เท่ากับมีภาระดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์ 480000คูณ2.5% 12500ต่อปี ถ้า5ปีก็จะมีภาระดอกเบี้ยรถอยู่ที่ 62500 ก็เท่ากับเป็นหนี้โดยรวม 525000
สมมุติผ่อนไป3เดือน รู้ตัวเลยว่าเดือนที่4ผ่อนไม่ไหวล่ะจะต้องค้างค่างวดแน่นอน และมีแนวโน้มที่ถูกยึดสูง รู้ไหมว่าการนำรถไปคืนไฟแนนซ์รถก็เท่ากับประวัติการผ่อนชำระค่างวดสินเชื่อรถยนต์เสียไปในตัวด้วย ทำไมล่ะก็ในเมื่อเราผ่อนไม่ไหวก็เอารถไปคืนไฟแนนซ์รถผิดตรงไหน ก็ตอนกู้ซื้อรถได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไว้ในเมื่อผ่อนค่างวดสินเชื่อรถยนต์คืนให้กับทางไฟแนนซ์รถไม่ครบตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ก็เท่ากับผิดสัญญาแล้วเป็นผลพวงให้ประวัติเครดิตบูโรเสียไปด้วย อนาคตการจะขอสินเชื่อรถยนต์ กู้ซื้อรถก็จะเป็นไปได้ยากมาก
แล้วถ้าเกิดจะนำรถคันที่ผ่อนกับไฟแนนซ์รถอยู่ไปขายล่ะ รถใหม่เลยยังไม่ถึงปีด้วย ขายไปอาจจะได้เงินดาวน์คืนกลับมาบ้างก็ได้ แต่ในความเป็นจริงรถคันนี้ก็เป็นรถมือสอง รถใช้แล้วซึ่งจะนำไปขายต่อที่เต็นท์รถมือสองอาจจะถูกกดราคาแล้วในกรณีลักษณะแบบนี้สงสัยอาจจะยกรถให้เค้าไปผ่อนต่อฟรีๆเลยก็ได้ในกรณีที่ตอนออกป้ายแดงดาวน์ต่ำ
ข้อแนะนำ ถ้าหากว่ารถเพิ่งผ่อนไปต้องการจะขาย ให้ขายกับคนที่ซื้อรถต่อจากเราไปใช้งานจริงๆ ยอมขาดทุนขาดดาวน์ในราคาที่น้อยกว่าดาวน์ตอนออกรถ(ตอนออกรถดาวน์ไป20% อาจจะขายดาวน์ต่อที่10หรือ15%ก็ได้) แต่ที่สำคัญจะต้องทำการโอนสิทธิ์ที่ไฟแนนซ์รถให้เรียบร้อยจะได้ไม่เกี่ยวพันกับสินเชื่อรถคันนี้ต่อไปปิดภาระสินเชื่อรถยนต์ให้เรียบร้อย ส่วนการโอนสิทธิของไฟแนนซ์รถแต่ละแห่งนั้นมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไปผู้ที่รับโอนสิทธิ์เปลี่ยนผู้เช่าซื้อนั้นจะต้องชำระค่างวดสินเชื่อรถยนต์ล่วงหน้าตามข้อกำหนดของไฟแนนซ์รถ และจะมีค่าโอนสิทธิ์ ค่าธรรมเนียมต่างๆควรสอบถามทางไฟแนนซ์รถโดยตรงจะได้คำตอบที่ถูกต้องที่สุด